Chocolate
ช็อกโกแลต คือ ผลผลิตที่ได้มาจากเมล็ดของต้นโกโก้ในเขตร้อน เป็นส่วนผสมของของหวานหลายชนิด เช่น คุกกี้ เค้ก ไอศกรีม พาย ฯลฯ ช็อกโกแลตเป็นของหวานที่ถูกใจคนทั่วโลก
ช็อกโกแลต เกิดจากการหมัก คั่ว บด อย่างละเอียด ของเมล็ดของต้นโกโก้ในเขตร้อน มีถิ่นกำเนิดมาจากอเมริกากลางและเม็กซิโก ถูกค้นพบโดยชาวอินเดียนแดงและชาวอัซเตก ช็อกโกแลตจะมีรสขมและฝาด รู้จักกันในนามของ "โกโก้" ช็อกโกแลตอาจจะทำให้อยู่ในรูปของของเหลว เช่น เครื่องดื่มช็อกโกแลต ซึ่งก็เป็นการค้นพบของชาวอัซเตกด้วย ช็อกโกแลตถูกนำมาใช้เป็นของหวานในเทศกาลสำคัญต่างๆ เช่น เทศกาลวาเลนไทน์ เทศกาลไข่อีสเตอร์ เทศกาลคริสตมาส ฯลฯ
ประวัติของ chocolate
ช็อกโกแลตค้นพบมาตั้งแต่สองพันปีที่แล้ว หลังสมัยพระนางคลีโอพัตราแห่อียิปต์เป็นผลผลิตที่ได้จากเมล็ดของต้นคาคาว (cacao) ในป่าร้อนชื้นของทวีปอเมริกา จัดอยู่ในตระกูล Theobroma cacao แปลว่า "อาหารแห่งทวยเทพ"
ชนกลุ่มแรกที่รู้จักทำช็อกโกแลตเป็นอารยธรรมโบราณที่อยู่ในเม็กซิโกและอเมริกากลางชนกลุ่มนี้ได้แก่ชาวมายา และชาวอัซเตก แห่งอารยธรรมเมโสอเมริกา คนเหล่านี้เอาเมล็ดคาเคามาบดแล้วผสมกับเครื่องปรุงหลายชนิดเพื่อทำเป็นเครื่องดื่มที่มีรสขมเฝื่อน นอกจากใช้ประกอบอาหารแล้วช็อกโกแลตยังเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตเชิงศาสนาและสังคมด้วย
ชาวมายา (ค.ศ. 250-900) เป็นชนชาติแรกที่มีหลักฐานชัดเจนว่าได้ค้นพบความลับของต้นคาเคา โดยพวกเขาได้นำต้นคาเคามาจากป่าฝนและปลูกไว้ที่สวนหลังบ้าน พอออกฝักก็เก็บเอาเมล็ดมาหมักบ้าง คั่วบ้าง และยังบดเป็นเนื้อเหนียว อยากชงเป็นเครื่องดื่มก็เอามาผสมน้ำ โรยพริกไทยกับแป้งข้าวโพด ก็จะได้เครื่องดื่มช็อกโกแลตรสซาบซ่ามีฟองฟ่อง
ต่อมาราวคริสต์ศตวรรษที่ 14 อาณาจักรของชาวแอซเทคครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของอารยธรรมเมโสอเมริกา โดยมีเมืองหลวงตั้งอยู่ที่เมืองปัจจุบันเรียกว่า แม็กซิโก ซิตี้ ชาวแอซเทคได้ซื้อขายเมล็ดคาเคากับชาวมายาและชนชาติอื่น และยังเรียกเก็บค่าบรรณาการจากพลเมืองของตนและเชลยเป็นเมล็ดคาเคา โดยใช้แทนค่าเงิน ชาวแอซเทคนิยมดื่มช็อกโกแลตขมเช่นเดียวกับชาวมายายุคแรก โดยปรุงรสชาติให้ซู่ซ่าขึ้นด้วยเครื่องเทศ ชาวเมโสอเมริกาสมัยนั้นยังไม่มีใครปลูกอ้อยก็เลยไม่มีใครใส่น้ำตาลกัน
เล่ากันว่า คนมายายุคคลาสสิกชอบดื่มช็อกโกแลตกันในวาระพิเศษ ขณะที่บรรดาเชื้อพระวงศ์จะนิยมดื่มกันมาก ส่วนชาวแอซเทค บรรดาผู้ปกครองระดับสูง พระ ทหารยศสูง และพ่อค้าที่มีหน้ามีตาเท่านั้นที่มีสิทธิลิ้มรสเครื่องดื่มศักดิ์สิทธิ์นี้ ช็อกโกแลตมีบทบาทสำคัญในพิธีของราชวงศ์และศาสนา เพราะใช้เมล็ดคาเคาเป็นเครื่องสักการะเทพเจ้า และดื่มในพิธีสำคัญ
สำหรับที่มาของชื่อช็อกโกแลตนั้นยังไม่มีใครอธิบายได้แจ่มชัด แต่มีความเป็นไปได้สองทาง ทางแรกเป็นคำที่ผันมาจากคำว่า "ช็อคโกลัจ" ในภาษามายา ซึ่งหมายถึง มาดื่มช็อกโกแลตด้วยกัน อีกทางหนึ่งอธิบายว่าน่าจะมาจากภาษามายาเช่นกัน คือ " chocol" แปลว่า ร้อน ผสมกับคำว่า "atl" ของแอซเทคที่แปลว่า น้ำ พอมารวมกันจึงกลายเป็นคำว่า chocolatl และมาเป็น chocolate ต่อมาในยุโรป
โดยความเชื่อของชาวแอชเต็คส์ ประเทศเม็กซิโก "เมล็ดโกโก้เป็นอาหารที่เทพเจ้ามอบให้เพื่อเป็นใบเบิกทางไปสู่สวรรค์" เมื่อประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว ซึ่งทำให้พวกเขานำเมล็ดโกโก้มาทำเป็นเครื่องดื่มนั่นก็คือ "น้ำช็อกโกแลต" ต่อมานายเออร์นัน คอร์เตช นักสำรวจชาวสเปนแล่นเรือมาพบกับชาวแอชเต็คส์ ซึ่งเขาได้อาศัยอยู่กับชาวแอชเต็คส์และร่วมดื่มน้ำช็อกโกแลตด้วยกัน และนายคอร์เตชได้นำเมล็ดโกโก้กลับประเทศเพื่อลองทำเครื่องดื่มดูบ้าง และแต่งเติมรสให้หวานขึ้นจนเป็นเครื่องดื่มที่นิยมกันในสเปน จนในมี่สุด นายคอนราด เจ แวนฮูเตนท์ ชาวดัชได้ค้นพบการทำช็อกโกแลตแบบแท่ง เม็ด และผง
ประโยชน์ของช็อกโกแลต
1.ช่วยลดความอ่อนเยาว์ให้ดูเด็กลง ช่วยในเรื่องของหัวใจและระบบความดันโลหิตสูง
2.ช่วยบรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน
3.ช่วยทำให้ตื่นตัวและสดชื่น
4.ช่วยลดความเครียด
5.บรรเทาอาการไอ
โทษของช็อกโกแลต
1.ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง
2.ทำให้เป็นโรคอ้วน มีธาตุ A D K และธาตุเหล็กค่อนข้างสูง
3.อาจทำให้เกิดอาการแพ้ เช่น เป็นสิวตรงกลางจมูก
ชนิดของช็อกโกแลต
1.ช็อกโกแลตที่ไม่ได้เพิ่มความหวาน (ช็อกโกแลตที่บริสุทธิ์)
2.Dark Chocolate (ช็อกโกแลตที่ไม่มีนม)
3.Milk Chocolate (ช็อกโกแลตที่เพิ่มนมข้น)
4.ลิเคียวร์ช็อกโกแลต (ช็อกโกแลตที่บดเอาแต่น้ำ)
5.ช็อกโกแลตกึ่งหวาน (ช็อกโกแลตที่เพิ่มหวานและเนยโกโก้)
6.ช็อกโกแลตหวาน (ช็อกโกแลตที่เพิ่มหวานมาก)
7.White Chocolate (ช็อกโกแลตที่เพิ่มนมสด)
8.ลิควิดช็อกโกแลต (ช็อกโกแลตที่ไม่หวาน ใส่ขวดขาย)
9.กูแวร์ตู (ช็อกโกแลตที่มันเงา เคลือบผลไม้)
10.กานาซ (ช็อกโกแลตข้น ใช้ทำเค้ก)
11.Confectionary coating (ช็อกโกแลตเคลือบลูกกวาด)